เทศน์พระ

โรคชรา

๒๗ พ.ย. ๒๕๕๑

 

โรคชรา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจ ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรม เวลาเข้าพรรษา เราตั้งใจ จำพรรษาหาที่วิเวก เพื่ออธิษฐาน เพื่อเร่งความเพียร ออกพรรษาแล้วออกธุดงค์ไป ออกพรรษาแล้วธุดงค์ พระในสมัยพุทธกาล ถ้าออกพรรษาแล้วไม่ธุดงค์ ชาวบ้านเขาไล่เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าอาวาสวัดไหน พระภิกษุที่จำพรรษาประจำที่ในสมัยพุทธกาลไม่มี เวลาออกพรรษาแล้วออกวิเวก ออกพรรษา ออกค้นคว้า

ในพรรษา พระรุกขมูลไปอยู่ตามถ้ำตามเงื้อมผา เวลาบวชมา ผู้ที่เรียนธรรมวินัยในสมัยพุทธกาล สันถัต มีสันถัตไง ไปไหนมีพรมไปด้วย นั่นวัดบ้าน วัดป่าไม่มีสันถัต วัดป่าอยู่โดยบริขาร ๘ เพราะธุดงค์ไป เวลาเคลื่อนที่มันจะเคลื่อนได้ง่าย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาปลีกวิเวก “ในพรรษานี้ห้ามภิกษุเข้ามาหาเรา ถ้าใครฝืนคำสั่งเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ภิกษุผู้ที่ประพฤติปฏิบัติแล้วติดข้องในธรรมวินัย อนุญาตให้เข้าหาได้ตลอดเวลา” เพราะการประพฤติปฏิบัติเวลามันมีความลังเลสงสัย มีความติดข้องหมองใจจะแก้ไม่ได้ ต้องมีผู้รู้เป็นผู้แก้

นี่ไง เวลาออกพรรษาแล้วให้ออกธุดงค์ไป ธุดงค์ไปก็เพื่อหาเรา ค้นคว้าหาใจเรานะ ถึงต้องมีความเข้มแข็ง จะในพรรษาหรือนอกพรรษามีค่าเท่ากัน มีค่าเท่ากันแต่สมมุติ ธรรมวินัยบัญญัติ สมมุติบัญญัติ บัญญัติไว้ เวลาในพรรษาให้จำพรรษา ออกพรรษาแล้วให้วิเวกไป

ทีนี้ออกพรรษากับในพรรษาก็พระอาทิตย์ขึ้น-พระอาทิตย์ตกเหมือนกัน ๒๔ ชั่วโมงเหมือนกัน ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูกาลมันเป็นฤดูกาล ฤดูกาลความเปลี่ยนแปลงในใจของเรามันก็เป็นฤดูกาลเหมือนกัน เราถึงอย่าประมาทกับชีวิต

เวลาเราบวชขึ้นมา เห็นภัยในวัฏสงสาร คฤหัสถ์ ภิกษุ บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นเจ้าของศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา บริษัท ๔ เป็นเจ้าของศาสนา เราเกิดมาเป็นบริษัท ๔ แล้วบริษัท ๔ เห็นภัยในวัฏสงสาร ถ้าเกิดมาไม่ได้ออกประพฤติปฏิบัติ เกิดเหยียบแผ่นดินผิดเลย เพราะมันเป็นอริยทรัพย์จากภายในที่มีคุณค่ามาก มีคุณค่ามาก การแสวงหามันก็ต้องลงทุนมาก การลงทุนมาก เราถึงจะต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราตื่นตัว เราตื่นตัว เรามีสติอยู่ การประพฤติปฏิบัติของเรามันจะเป็นสัมมา

สัมมา สิ่งที่เป็นความชอบธรรม เห็นไหม ทางโลกเขาช่วงชิงความชอบธรรมกัน เวลาเกิดศึกสงคราม สงครามที่โดยความชอบธรรมจะชนะสงครามที่เป็นอธรรม สิ่งที่เป็นอธรรม รุกรานเขา ทำลายเขา กลั่นแกล้งเขา มันเป็นอธรรมทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเราป้องกัน เราทำสิ่งที่ดี เป็นสงครามที่ความชอบธรรม ในการประพฤติปฏิบัติถ้าเป็นความเห็นชอบ ความเพียรชอบ ความชอบธรรม ความชอบธรรมมันเกิดจากเรา เกิดจากเรามีสติสัมปชัญญะ

ถ้าเราไม่มีสติสัมปชัญญะ กิเลสมันพาออกไปสู่ความไม่ชอบธรรม ไม่ชอบธรรมตรงไหน กิเลสมันพาไป กิเลสมันมักง่ายใช่ไหม มันต้องการความสะดวกสบายใช่ไหม มันต้องทำตามความเห็นของมัน สิ่งนั้นมันไม่ชอบธรรม เพราะมันไหลไปตามอารมณ์ความรู้สึก มันไม่ใช่เป็นความจริง

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เราตั้งสติเราขึ้นมา สิ่งที่เราตั้งสติขึ้นมา เวลาการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราต้องตั้งใจจงใจของเรา ถ้ามีความตั้งใจจงใจ ความกล้าหาญเป็นความถูกต้องหรือยัง ความกล้าหาญ มีสติ มีสัมมามีมิจฉาเหมือนกัน ความกล้าหาญ ถ้าเราทำในสิ่งที่เป็นมิจฉา มันก็กล้าหาญในทางที่ผิด

ถ้ากล้าหาญในทางที่ถูกล่ะ ในการทำทาน ในการมีศีล ในการประพฤติปฏิบัติ มันถึงต้องมีปัญญาไปตลอด มีปัญญา สุตมยปัญญาเป็นปัญญาจำมา ปัญญาการศึกษามา ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราใช้ชั่วคราว

จินตมยปัญญา ไอน์สไตน์บอกเลย “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” ความรู้คือข้อมูลที่เรามีอยู่ แต่จินตนาการมันทำให้เรามีเป้าหมาย จินตนาการ ความเป็นไป อวกาศ ยานอวกาศเกิดจากอะไร เกิดจากการตั้งเป้าของเขา แล้วเขาค้นคว้าของเขาไป นี่ก็เหมือนกัน “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” ไอน์สไตน์ถือทฤษฎีอย่างนี้ แต่ของเราถ้าเป็นจินตนาการก็เป็นจินตนาการด้วยความหลอก เพราะอะไร เพราะวุฒิภาวะเรามันอ่อน ถ้าจินตนาการไปมันก็เป็นเรื่องเหลวไหล จินตนาการแต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่เป็นไปได้ล่ะ วิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาเพราะเขาค้นคว้าของเขา เขามีจินตนาการของเขา แล้วเขาค้นคว้า พิสูจน์ วิจัยออกมาเป็นทฤษฎี เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ แต่มันเกิดจากอะไรถ้าไม่มีจินตนาการ “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” ต้องผู้ที่มีหลักเกณฑ์ เห็นไหม จินตมยปัญญาแก้กิเลสไม่ได้

ภาวนามยปัญญาเป็นสัจจะความจริง สัจจะความจริง ผู้มีบุญบารมี ผู้ที่มีบุญกุศลสร้างขึ้นมา ภาวนามยปัญญามันเกิดมาจากไหนล่ะ? เกิดมาจากความทดสอบตรวจสอบการกระทำของเรา ถ้าเราไม่ได้ทดสอบตรวจสอบ มันจะเป็นความเห็นของเรา ความเห็น ความเห็นไม่ใช่ความจริง เพราะของเราเป็นความเห็น แต่ถ้าเข้าไปรู้แจ้ง ความรู้แจ้งที่มันเป็นความจริง ความจริงอันละเอียด ความจริงจากโลก โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา สิ่งนี้มันมีต้นทุน มันมีต้นทุน มันต้องมีการลงทุน การลงทุนของเรา ถ้าเราลงทุน เราตั้งสติ เราถึงอย่าประมาทกับชีวิต

ดูสิ เวลาคนป่วยเขาไปตรวจร่างกาย เขาไปเจอโรคร้ายของเขา หมอบอกเลย อยู่ได้อีก ๖ เดือน ปีนึง เขาจะตกใจมาก แล้วเขาจะแก้ไขของเขา เขาจะเอาชีวิตของเขา เขารักชีวิตของเขา เราอย่าประมาทว่าเราไม่ใช่คนเจ็บคนป่วย เรามีโรคประจำตัวทุกคน โรคชรา

โรคชรา ทุกคนต้องตายหมด เรามีโรคประจำตัวตั้งแต่เกิดมา คนเกิดมาแล้วมันชราคร่ำคร่าไปเป็นธรรมดา มันจะต้องชรา มันจะต้องเปลี่ยนแปลง มันจะต้องตายไปเป็นธรรมดา โรคประจำตัวมันเกิดมากับเรา คนเกิด ที่ไหนมีการเกิด ที่นั่นต้องมีการตาย เรามีโรคอยู่แล้ว ไม่ต้องไปให้หมอมันตรวจหรอกว่านี่เป็นโรคมะเร็ง เป็นโรคเอดส์ เป็นโรคที่รักษาไม่หาย

โรคชราที่ไหนก็รักษาไม่หาย เรามีโรคชราประจำตัว แล้วโรคชราของเรา อายุขัยของคนไม่เท่ากัน เราถึงจะต้องตื่นตัวของเรา เราตั้งใจมาแล้ว เราตั้งใจแล้ว เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราอย่ามองแต่โลกนี้เป็นภัยเลย

คนที่อยู่ทางโลกเขาเบื่อหน่าย โลกนี้มันใส่หน้ากากเข้าหากัน มันมีแต่ความปลิ้นปล้อนหลอกลวงกัน แล้วเราโทษแต่เขาไง แต่เราไม่โทษถึงความปลิ้นปล้อนในหัวใจของเรา กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันหลอกลวงเรามาขนาดไหน เวลาเราตั้งใจบวชขึ้นมา ทุกคนปรารถนา มีเป้าหมายทั้งนั้นน่ะ ในอธิษฐานบารมี บารมี ๑๐ ทัศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี

อธิษฐานบารมี เป้าหมาย เรามีเป้าหมายพ้นจากทุกข์ทั้งนั้นน่ะ เวลาบวชขึ้นมา ความสดชื่น ไฟแรง เราทำได้ด้วยความเต็มใจมาก ทำไมไฟมันมอดลงล่ะ ทำไมไฟในตัวเรามันอ่อนลงล่ะ อ่อนลงเพราะอะไร เพราะมันชินชาไง อย่าชินชากับอารมณ์ความรู้สึกของเรา เราต้องตื่นตัว

หน้าที่การงาน ข้อวัตรปฏิบัติ เห็นไหม คนเกิดมาบอกว่า “งานทางโลกๆ ห้ามทำ” เราจะไม่ทำอะไรเลย เป็นไปไม่ได้หรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ข้อวัตรปฏิบัติเราไว้เป็นเครื่องอยู่ ใจของเราถ้าไม่มีหลักมีเกณฑ์ ดูสิ คนจะกล้าหาญ คนจะมีปัญญาขนาดไหน ต้องมีศีลเป็นตัวที่ตรวจสอบ

ศีล ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ศีล ๒๑,๐๐๐ ข้อ ธรรมและวินัย ศีลมีสองหมื่นกว่าข้อ ไม่ใช่ ๒๒๗...สองหมื่นกว่า เวลาพระสมัยพุทธกาลบอกว่า “ศีลมาก ทุกอย่างทำอะไรผิดหมดเลย” ไปขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสึก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ถ้าถือศีลข้อเดียวได้ไหม ศีลมันมากเกินไป ถือไม่ได้ ถือข้อเดียวได้ไหม”

“ได้ ถ้าถือศีลข้อเดียวจะอยู่ต่อ จะไม่สึก”

“ให้ถือใจ ให้ถือเจตนา”

เรามีเจตนาที่ดี ความผิดพลาดในการเคลื่อนไหวไป มันมีความผิดพลาดเป็นธรรมดา แต่ถ้าเราไม่มีเจตนา ศีลขาด ศีลด่าง ศีลพร้อย ศีลทะลุ ศีลทำผิดเหมือนกัน แต่ไม่มีเจตนา ไม่ครบองค์ประกอบ มันด่างพร้อย มันไม่ถึงกับศีลขาด ศีลขาดคือตั้งใจเจตนาจะทำ แล้วทำลงไป ศีลมันถึงขาด

ไม่ได้ตั้งใจ มันผิดพลาดด้วยความสุดวิสัย มันผิดพลาดด้วยความสุดวิสัยนี่มันด่างพร้อย เราก็เสียใจเป็นธรรมดา สิ่งนี้เป็นธรรมดา เพราะโลกมันมี มหาภูตรูป เรามีร่างกาย เรามีการเคลื่อนไหว มันมีความผิดเป็นธรรมดา ถ้าเราฆ่าสัตว์ข้างนอก เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย เรารักษาตัวเรา เราก็ฆ่าเชื้อโรค เราฆ่าเชื้อโรค เราฆ่ามันผิดศีลไหม

ถ้าพูดถึงธรรมอันละเอียด เวลาละเอียด มันเมตตาไปหมด ถ้ามีการฆ่าที่ไหน ผิดทั้งนั้นล่ะ แต่ในเมื่อเรายังมีกิเลสอยู่ เราเห็นภัยในวัฏสงสารใช่ไหม เราเกิด เรามีเรือมาคนละลำ เราอยู่ในโอฆะ เราอยู่ท่ามกลางทะเล เราจะต้องพาชีวิตเราเข้าถึงฝั่งให้ได้ ร่างกายมันเป็นเรือ แล้วมันชำรุด มันรั่ว มันซึม เราจะปะชุนมันไหม

นี่ก็เหมือนกัน การเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาเรารักษา เราฆ่าเชื้อโรคไหม? มันก็ฆ่า แต่การฆ่านี้ฆ่าเพื่อจะให้เรือมันสามารถเข้าหาฝั่งได้ การกระทำมันต้องมีปัญญา เราเสียส่วนน้อย เราเสียส่วนนี้ เราเสียสิ่งที่ว่ามันสะเทือนใจเรา แต่เพื่อเอาส่วนใหญ่ของเราไว้ไง เอาชีวิตนี้ไว้ ในเมื่อมีชีวิตอยู่ เราประพฤติปฏิบัติ

ครูบาอาจารย์ของเรา ตั้งแต่เป็นโสดาบัน สกิทาคามี ถ้าจะสิ้นชีวิตไป ท่านยังไม่อยากสิ้นเลย ยิ่งเป็นอนาคามี รู้เลยนะ คนปฏิบัติถ้าเป็นความจริงรู้เลยว่ายังมีอยู่ ยังมีจิตอยู่ที่มันต้องเกิดต้องตาย ในเมื่อมันต้องเกิดต้องตาย มันก็ต้องไปเกิดในครรภ์ของมารดา ต้องไปเกิดอีกชาติหนึ่ง แต่ถ้าเรารักษาชีวิตนี้ไว้เพื่อปฏิบัติให้ถึงที่สุดไป แล้วไม่ต้องเกิดอีก แล้วโรคชรามันจะไม่มีกับจิตดวงนั้น

แต่เรามันมีโรคชรา โรคประจำตัวคือชราภาพ คือมันต้องชราไป มันต้องสึกกร่อนไปเป็นธรรมดา แต่ชรานี้มันชราในโอกาสของโรค ชราในเรื่องของร่างกาย ความเจ็บไข้ได้ป่วยมันเสื่อมสภาพ ดูกระดูกสิ เวลาแก่เฒ่าขึ้นมากระดูกผุ กระดูกเปราะ กระดูกต่างๆ มันกินตัวมันเอง แคลเซียมมันต้องเอาออกมาใช้ในร่างกาย มันดึงออกมาใช้ พลังงานของเรามันดึงออกมาใช้ ทำไมเราไม่คิด ถ้าเราคิดของเรา นี่มันชั่วคราวนะ แต่หัวใจมันไม่ชั่วคราว หัวใจเป็นความจริงนะ สิ่งที่เป็นความจริงมันอยู่กับเรา

แล้วเราบวชมาแล้ว งานข้างนอก งานของสังคมเขา งานของโลกเขา นี่ธรรมของฆราวาส ฆราวาสธรรม แล้วเราภิกษุล่ะ ธรรมของผู้ประพฤติปฏิบัติ แล้วงานของเรางานอะไร ดูสิ การซ่อมบำรุง พระสังฆาธิการต้องมีความรู้ ความรู้ในอะไร? ความรู้ในการซ่อมบำรุงอิฐหินปูนทราย

แต่ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระอุปัชฌาย์บวชขึ้นมา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ รุกฺขมูลเสนาสนํ งานของพระ งานของพระ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ โครงสร้างของร่างกาย โครงสร้างของมนุษย์

เขาไปซ่อมแซมกันที่สิ่งที่เป็นวัตถุ มันเป็นกิจของสงฆ์ เวลาเป็นผู้นำขึ้นมา กิจของสงฆ์ เราก็ซ่อมบำรุง ของของสงฆ์ สงฆ์เอาไปใช้แล้วไม่วานให้ใครเก็บก็ดี ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ให้ผู้อื่นเก็บก็ดี เป็นอาบัติปาจิตตีย์

ของของสงฆ์ ของส่วนกลาง บุคคลเอาไปใช้เป็นประโยชน์ ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ไหว้วานใครเก็บก็ดี เป็นอาบัติปาจิตตีย์ นี่ของของสงฆ์ เรารักษาของของสงฆ์ เรารักษาโครงสร้าง รักษาอาวาส อารามิก ผู้ไม่มีเรือนอาศัยสิ่งนี้เพื่อกายภาพ เพื่อความเป็นอยู่ของสงฆ์ เพื่ออะไร? เพื่อสังคม เพื่อโลก แล้วเพื่อใจล่ะ เพื่อใจ ความละเอียดอ่อนเข้ามา รักษาใจนี้ ใจนี้อะไรไปรักษามัน ถ้าไม่มีสติ ศีล สมาธิ ปัญญา งานข้างในเป็นงานศีล สมาธิ ปัญญา

ดูสิ ผู้บริหาร ใครเป็นผู้มีอำนาจขึ้นไปบริหารปีสองปีผมขาวหมดเลย เพราะมันต้องรับผิดชอบ รับผิดชอบ รับทั้งประเทศ ผู้ที่มีอำนาจ ประเทศที่มีอิทธิพลรับผิดชอบทั้งโลก นี่เราบริหารกัน ผู้บริหารมันต้องใช้ปัญญามาก

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราเข้าไปในหัวใจ เราบริหารด้วยมรรคญาณ หัวใจที่เข้าไปชำระกิเลสมันยิ่งกว่าข้างนอกอีกนะ มันละเอียดลึกซึ้ง แล้วสิ่งที่หลอกลวงเรา สิ่งที่ทำให้ความเพียรเราล้มไป ทำการก้าวเดินไปของเราไปไม่ได้ มันเป็นคนข้างนอกหรือ? มันก็เป็นเรา กิเลสเป็นเรา ทุกอย่างเป็นเรา ความเหนื่อยเป็นเรา ความหิวเป็นเรา ทุกอย่างเป็นเรา...ไม่เป็น

เวลาอดอาหาร ในกระเพาะอาหารมันไม่มีอาหารเป็นธรรมดา มันหิวไหม? หิว ความหิว หิวของอะไร หิวของกระเพาะอาหารหรือ กระเพาะอาหารหิวได้ไหม ลำไส้หิวได้ไหม ปากหิวได้ไหม ธาตุหิวได้ไหม ทุกอย่างหิวไม่ได้เลย แล้วมันหิวเพราะอะไร หิวเพราะใจมันไม่ได้กิน มันมีสัญญาข้อมูลว่าเคยกินข้าวแล้วไม่ได้กิน แล้วเราใช้ปัญญาไล่ไป อะไรมันหิว กระเพาะหิวหรือ เนื้อหิวหรือ น้ำหิวหรือ ดินหิวหรือ ไม่มีสิ่งใดหิวเลย แล้วอะไรมันหิวล่ะ

พอจิตมันปล่อย ความหิวหายหมดเลย มันรวมลง เป็นสมาธิ ว่างหมดเลย แล้วความหิวหายไปไหน ความหิวหายไปไหน หิวหายไปไหน มันไม่มี แล้วมันมีเพราะอะไร มีเพราะยึดไง มีเพราะความโง่ไง เพราะจิตมันโง่ไง แต่โดยข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์มันขาดแคลนจริงๆ ดูสิ ในร่างกายเรา ไขมันมีเหลือเท่าไร

ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ทับจิต เวลาธาตุมันเข้มแข็งขึ้นมา เรากินอิ่มนอนอุ่น โลกเขากินกันเพื่อกาม กินกันเพื่อเกียรติ กินกันเพื่อดำรงชีวิต สมณะเรากินเพื่อดำรงชีวิตนะ เปรียบเหมือนล้อเกวียน หยอดน้ำมันเพื่อให้มันหมุนไปไม่มีเสียงดังเท่านั้นเอง เรากินเพื่อดำรงชีวิต เอาชีวิตนี้สืบต่อไว้เพื่อค้นคว้า ทำการวิจัยค้นคว้าหาตัวให้เจอ ถ้าหาตัวให้เจอ ดึงมันออกมา ดึงมันออกมาพิสูจน์กัน ดึงออกมา

อัตตานุทิฏฐิ ทุกอย่างว่างหมดเลย เรารู้หมดทุกอย่างในโลกนี้ อัตตานุทิฏฐิคือความที่เรารู้ข้างนอก ดึงมันออกมา ถอนอัตตานุทิฏฐิ ศรมันปักเสียบอยู่ที่ใจของเรา เราไม่เห็นศรปักเสียบอยู่ที่ใจของเรา เราเห็นศรปักเสียบอยู่ภายนอก ดูสิ เจ็บไข้ได้ป่วยในร่างกาย ดูสิ มีบาดแผลขึ้นมา เลือดตกยางออก เจ็บปวดมาก รักษาให้มันหาย แผลหายแล้วจิตใจมันหายไหม แผลในร่างกายหายแล้ว แล้วแผลใจมันหายไหม

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มันปักเสียบอยู่ที่ใจมันละเอียดยิ่งกว่านั้นอีก ถ้าเราบริหารมัน เอาอะไรไปบริหาร คนที่บริหารต้องมีผู้บริหาร ผู้บริหารคือจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นบริหารจิตดวงนั้น จิตแก้จิต ถ้าจิตแก้จิต ถ้าเราเข้มแข็ง เรามีการกระทำ มันจะละเอียดอ่อนเข้ามา งานอย่างนี้ประเสริฐที่สุด งานอย่างนี้งานการรื้อภพถอนชาติ

ถ้าคนไม่มีปัญญา รื้อภพถอนชาติเขาไปโอนสัญชาติไง โอนสัญชาติหนึ่งเป็นสัญชาติหนึ่ง รื้อภพถอนชาติที่ทะเบียนบ้านหรือ ทะเบียนบ้านมันเป็นสัญชาติ มันเป็นสมมุติขึ้นมาในการปกครอง มีการปกครองขึ้นมา เขาคิดกฎหมายขึ้นมาเพื่อปกครอง เพื่อการควบคุม แต่ในหัวใจของเรา ภพชาติเป็นของเรา สรรพสิ่งนี้เป็นของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เราเป็นผู้ชี้ทาง” ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติคือพวกเราเอง เราจะต้องประพฤติปฏิบัติของเราเอง

ถ้าเราทำความสงบของใจเราเข้ามา เรารู้ของเรา เราเห็นของเรา เราแก้ไขของเรา แต่การรู้การเห็นเริ่มต้นมาจากการรู้การเห็นไปโดยกิเลสเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเราเกิดมามีกิเลส ในเมื่อเรารู้เราเห็นเป็นเรา กิเลสเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา ถ้าเป็นเรา เราทำอะไรไม่ได้เลย เพราะเป็นเรา

แต่ถ้าเราแยกมัน ไม่ใช่เรา มันเกิดดับ มันมีตัณหาความทะยานอยากเกิดขึ้นมา ในเมื่อเราเกิดมาโดยอำนาจวาสนา เราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา แล้วเราได้ออกประพฤติปฏิบัติ ออกบวชเป็นภิกษุ ภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร

ภัยข้างนอก ดูสิ ไฟไหม้บ้าน ใครขนสมบัติออกจากบ้านเท่าไร ออกจากไฟที่ไหม้เรือนนั้น เราจะเหลือสมบัตินั้นมา นี่คุณประโยชน์ของเรา จากร่างกาย ร่างกายเหมือนบ้านหลังหนึ่ง มันโดนธาตุไฟเผาผลาญมัน โรคชรามันเผาผลาญแล้วมันจะต้องมอดไหม้ไปเป็นธรรมดา แล้วสิ่งที่เราจะรื้อขนมันออกมา ดูสิ การเสียสละของเรา เราเสียสละออกไปเท่ากับเราขนทรัพย์สมบัติออกจากบ้านไปกองไว้ ทรัพย์สมบัติขนออกไปข้างนอก ไปกองไว้ โจรมันก็มาปล้นมาชิงไปอีกทีหนึ่ง

แต่บุญกุศล ใครมาปล้นชิงได้ ความรู้สึกในหัวใจของเรา ใครมันปล้นชิงได้ ไม่มีใครปล้นชิงความรู้สึกของเรา มีแต่เราทุกข์ เรามีความหมักหมมของใจ เราไปหาครูบาอาจารย์ให้ช่วยทีๆ หาครูบาอาจารย์ให้ช่วยระบายความทุกข์ในหัวใจให้เราที ครูบาอาจารย์ท่านก็พูดปลอบประโลม พูดปลอบประโลมเป็นโวหาร เป็นวิธีการให้เราดึงอารมณ์ออกไปอีกอารมณ์หนึ่ง อารมณ์ที่มันทุกข์อยู่ เราไปจมกับความนึกคิดของเราเอง มันเหยียบย่ำใจของเรา เราเปลี่ยนอารมณ์ไปคิดเรื่องอื่น เรื่องอะไร? เรื่องในธรรมไง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เรื่องอริยสัจ ทุกข์ ทุกข์มันเป็นความจริง มันเป็นความจริงอันหนึ่ง เราเกิดมาเราต้องเจอความจริงอันนั้น แต่เราไปเจอความจริงแล้วเราปฏิเสธความจริง เราเลยไม่รู้ความจริงไง แต่ถ้าเราเจอความจริงนั้น แล้วเราเข้าไปเผชิญกับความจริงนั้น แก้ไขความจริงนั้น

ทุกข์ควรกำหนด อะไรที่เป็นทุกข์ อะไรที่ขัดแย้งใจ อะไรที่มันขัดแย้ง ที่มันปักเสียบยอกในหัวใจนั้น ถ้ามีสติจับสิ่งนั้นมาพิสูจน์ มันมีอะไรพิสูจน์ อย่างเช่นหิว อย่างเช่นที่เราแบกรับไว้ สิ่งนี้มันเป็นอะไร พิสูจน์มันเข้าไป ถึงที่สุดแล้วมันมีอะไร สิ่งอะไรที่มันเหยียบย่ำใจอยู่ ที่มันกดถ่วงใจนั้นไว้ พิสูจน์ไปแล้วไม่มี พอไม่มี มันปล่อยวางหมด แล้วปล่อยวาง พอมันปล่อยวางสิ่งที่มันหลงผิด แล้วตัวมันปล่อยสิ่งนั้นเข้ามา มันอยู่ที่ไหน สิ่งที่ปล่อยเข้ามาทั้งหมด มันเอาอะไรปล่อยมา เวลามันทุกข์ขึ้นมา ใครไปแบกหามใครถึงทุกข์ แล้วเวลาปล่อย ใครเป็นคนปล่อย

ถ้าไม่มีผู้ปล่อย ไม่เห็นการปล่อย ใครเป็นคนปล่อย ถ้าไม่ปล่อย มันจะหายจากทุกข์ได้อย่างไร มันจะหายจากความลังเลสงสัยได้อย่างไร สิ่งที่เราลังเลสงสัย มันแบกหามอยู่นี่ ใครเป็นคนแบกหาม แล้วมันปล่อยขึ้นมา ใครเป็นคนปล่อย ปล่อยแล้วมันเหลืออะไร สิ่งที่เหลืออยู่ มันมีสิ่งที่เหลืออยู่ สิ่งที่ต้องเป็นไป ภวาสวะ ภพที่มันปล่อย ภพหยาบ ภพละเอียด สิ่งที่เป็นภวังค์ สิ่งต่างๆ ที่มันคิดออกมามันอยู่ที่ไหน นี่สิ่งที่การกระทำ งานของพระ งานของภิกษุเรา

หน้าที่การงานมันเป็นข้อวัตร สิ่งที่เป็นข้อวัตร มันต้องอาศัย ทำไมเราต้องหายใจทุกลมหายใจล่ะ ทำไมเราไม่กลั้นลมหายใจล่ะ หายใจเข้าต้องออก ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกถ้าไม่มีก็ตาย กิน เราต้องฉันทุกวัน เราต้องบิณฑบาตทุกวัน ร่างกายเราต้องขับถ่ายทุกวัน สิ่งที่มันเป็นของมัน เป็นธรรมชาติของมัน เราถึงมีข้อวัตรเพื่อการดำรงชีวิตอย่างนี้ไง

สมณสารูปเพื่ออะไร เพื่อการเป็นอยู่ เพื่อการฝึกสติ สิ่งใดที่มีอยู่ สิ่งใด ดูสิ ครอบครัวใดก็แล้วแต่ วิชาชีพในครอบครัวของเรา มันชำนาญอย่างนั้น เพราะเราเกิดมาตั้งแต่เด็ก เราเห็นพ่อแม่เราประกอบอาชีพมาตั้งแต่เด็ก อาชีพอย่างนี้เราคุ้นเคยมากับมัน เราจะเห็นมัน

นี่ก็เหมือนกัน พระกรรมฐาน ความเป็นอยู่ของเรามันก็เป็นวิชาชีพของเรา สมณสารูปมันเป็นวิชาชีพของเรา เราแก้ไขของเรา เราชำนาญของเรา เราคุ้นเคยกับเรา ความคุ้นเคยนั้น กิเลสมันจะเอามาอ้าง จนทำให้เรามองข้ามสิ่งที่เราจดจ่ออยู่อย่างนี้ มันจะเป็นสติ มันเป็นการฝึกฝนเราใช่ไหม มันเป็นการฝึกสติ ข้อวัตรปฏิบัติมันเป็นการฝึกสติ มันไม่ให้หัวใจนี้ด้าน

ถ้าหัวใจมันด้าน ฟังเทศน์ทุกวัน ฟังเทศน์จนชินหู พูดจนชินปาก แต่หัวใจมันด้าน หัวใจมันด้านเพราะมันไม่ถึงธรรม ธรรมะไม่เข้าไปสะเทือนในหัวใจของเรา ถ้าธรรมะเข้าไปสะเทือนหัวใจของเรานะ ขนลุกขนพองเลย เวลาขนลุกขนพอง มันทำให้ตื่นตัวขึ้นมา ถ้าตื่นตัวขึ้นมา เรามีความเข้มแข็ง อย่าอ่อนแอ เราอย่าอ่อนแอ อย่าอ่อนแอ ให้เข้มแข็ง โรคชรามันไล่หลังเรามาทุกวัน

ยักษ์ มืดกับสว่าง มันกินสัตว์ทั้งหมดเลย มืดก็สว่าง สว่างก็มืดอยู่อย่างนี้ทุกวันไป แล้วเราเพลินไป เพราะเราคิดว่าชีวิตนี้เรายังมีโอกาสอีกมากนัก เราคิดของเราไป ไม่มีใครรู้หรอกว่าวันนี้เรานอน พรุ่งนี้เช้าจะได้ตื่นขึ้นมาอีกไหม ถ้ามันตื่นขึ้นมา มันก็มีโอกาสของเราอีกวันหนึ่ง ถ้ามีโอกาสอีกวันหนึ่ง ดูสามเณรราหุลสิ เช้าขึ้นมากำทรายเลย “วันนี้จะขอความรู้เท่าเม็ดทรายนี้” ยังขวนขวายตลอดเวลา สามเณรราหุลเป็นพระอรหันต์นะ เป็นพระอรหันต์แล้วยังขวนขวายอยู่ตลอดเวลา แล้วเราเป็นอะไรกัน ในหัวใจของเรามันสิ้นจากงานแล้วหรือ

ถ้าในหัวใจเรายังไม่สิ้นจากงาน เหมือนไฟอยู่บนศีรษะเราเลย ถ้าไฟอยู่บนศีรษะเรา ความร้อนมันแผดเผาให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย เราจะปัดมันทิ้งทันทีเลย เพราะมันร้อนมาก ปวดแสบมาก นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตของเรามันมีโรคชราอยู่กับใจของเรา แต่เราเพลิดเพลินไปกับมัน เราหวังว่าชีวิตนี้เราจะมั่นคงขนาดไหน ชีวิตนี้เราจะดำรงชีวิตอย่างไรไป

คนเกิดคนตายทุกวินาทีในโลกนี้ เราก็ต้องเกิดต้องตายมาตลอด แต่ปัจจุบันนี้เรามีชีวิตอยู่ นี่ยังดีนะ เรายังบวชเป็นสมณะ เรามาบวชเป็นภิกษุ เรายังไม่ตายจากเพศของภิกษุ ตายจากเพศของภิกษุไปก็เป็นคฤหัสถ์ ตายจากคฤหัสถ์ไปก็เป็นสัมภเวสี ถ้ามีบุญกุศลก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ตายไปๆ มันหมดเวลา ชราภาพ ความชราภาพมันเกาะกินใจไปตลอดเวลา

ในปัจจุบันนี้ถ้ามันตื่นตัวขึ้นมา มันทำงาน คนตื่นตัวขึ้นมา เหมือนนักกีฬา เวลาเขาแพ้แล้วเขาสะบัดหน้าขึ้นมา แล้วเขายังสู้ เกมนั้นยังไม่สิ้นสุด เขาต้องสู้ตลอดไป นี่ก็เหมือนกัน แผ่นดินยังไม่กลบหน้าเรานะ เรายังมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ยังมีโอกาสอยู่

ลมหายใจเข้ามีสติก็เป็น “พุท” ลมหายใจออกมีสติก็เป็น “โธ” พุทโธพุทธะนี้อยู่กับเรา “ผู้ใดจะอยู่ถึงภาคตะวันตกของประเทศ แต่ปฏิบัติเหมือนเรา เหมือนอยู่ใกล้เรา” พุทธะอยู่ในหัวใจของเรา เราค้นคว้า เราแสวงหามาเพื่อเรา แล้วเราศึกษาของเรา ทางวิชาการของเรา เราจะรู้ของเราเป็นภาวนามยปัญญา เราจะเห็นคุณค่ามาก

เวลาเราศึกษา เราต้องหาที่ศึกษา หาสำนักที่ศึกษาเพื่อเราจะมีครูบาอาจารย์ชี้นำเรา แต่เวลาเราภาวนา เราศึกษากับใจของเรา เราหาที่สงัดให้หัวใจมันตีแผ่ออกมา ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ให้ปัญญาแทงทะลุมันเข้าไป ถ้าปัญญาแทงทะลุผิวหนังเข้าไป เวลาจิตสงบขึ้นมา พิจารณากายให้มันแปรสภาพ ให้มันแปรปรวนออกไป ความเห็นของเรามันจะแทงหัวใจมาก หัวใจนี้จะตื่นตัวมาก มันสะเทือนขั้วหัวใจเลย มันสะเทือนขั้วหัวใจ แล้วใครเป็นผู้รู้ล่ะ

เวลาเรามีการศึกษา เราต้องให้ครูบาอาจารย์เป็นคนให้คะแนน แต่ขณะที่เราเห็น ความรู้สึก สัจธรรมมันให้ความรู้สึกเรา มันให้ความรู้ มันให้ความเห็นความเป็นจริงกับเรา ให้ความเห็นความเป็นจริงกับเรา เห็นไหม จินตมยปัญญา ตทังคปหานการปล่อยวางชั่วคราวกับการปล่อยแบบสมุจเฉทปหาน การปหานกิเลสกับการปล่อยวางกิเลสมันเป็นอย่างไร

การประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติมาอยู่ ๖ ปี ลองผิดลองถูกมาอยู่ ๖ ปี ครูบาอาจารย์ของเรา การประพฤติปฏิบัติมันจะมีการลองผิดลองถูก เราไม่ใช่ขิปปาภิญญา ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ขณะที่ปฏิบัติแล้วทีเดียวรู้ ขณะรู้ ความละเอียด เวลาเราปฏิบัติไปแล้วมันลึกซึ้ง มันจะแทงหัวใจมากนะ

เหมือนกับกินอาหาร ช้อนแรก คำแรกมันจะอิ่มไหม การปฏิบัติไป การปล่อยวางแต่ละครั้งๆ รสชาติของมัน อาหารคำแรกรู้สึกว่ารสชาติมันซาบซึ้งมาก การปล่อยแบบตทังคปหาน มันรู้สึก มันแปลกประหลาดมาก แต่ขณะวิปัสสนาไป สิ่งที่แปลกประหลาดมันยังมีความลึกซึ้งกว่านั้น ความรู้แจ้ง อาหารมื้อนี้คำนี้อร่อยมาก แต่อาหารมื้อนี้คำที่อร่อยมันผสมไปด้วยอะไร มันทำไมถึงอร่อย รสชาตินี้มันรสอะไร ชิวหาวิญญาณรับรู้อย่างไร มันยังจับเป็นประเด็นที่เราจะแก้ไขแยกแยะได้ต่อไป ถ้าแยกแยะต่อไปจนรู้เท่าไง รสเป็นรส ความรู้เป็นความรู้ จิตเป็นจิต มันรู้จริง มันมีกี่คำๆ ก็รสนั้น

ไม่ใช่เหมือนกับทางโลกไง คำแรกจะมีรสชาติดีมาก คำ ๒ คำ ๓ คำ ๔ ไป รสชาติมันจะจางไปๆ เพราะมันคุ้นชิน เพราะมันเป็นอดีตอนาคต เพราะมันไม่เป็นปัจจุบันธรรม ขณะที่เรายังไม่กินอาหารเลย มันอยากรู้อยากเห็นความเป็นไป พอรสมันกระทบ ความรับรู้มันจะตื่นตัวมาก นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ การปล่อยวางตทังคปหานมันปล่อยชั่วคราว มันปล่อยไปแล้วมันชินชา มันคุ้นชินไปกับมัน คุ้นชินกับความรู้สึกอันนั้น ตทังคปหาน “รู้แล้วๆ” รู้อย่างไรก็แล้วแต่ ต้องตรวจสอบต้องทดสอบ เพราะมันยังไม่สมุจเฉทปหาน

ถ้ามันสมุจเฉทปหาน ดั่งแขนขาด กิเลสขาดไปจากใจดั่งแขนขาด ไม่ต้องมีใครมาบอกเลย ดั่งแขนขาด

คำว่า “ไม่ต้องมีใครมาบอกเลย” จริงอยู่นะ ไม่มีใครมาบอกเด็ดขาด ทีนี้ไม่มีใครมาบอกเลย มันก็ต้องสื่อความหมายกันรู้เรื่อง มันสื่ออันเดียวกัน สถานที่ที่เดียวกัน คนไปถึงสถานที่ที่เดียวกัน มันต้องเป็นที่ที่เดียวกัน ทีนี้เราสื่อได้ แต่สถานที่ที่เดียวกันกับเรากับสถานที่ของเขา ทำไมสถานที่ของเรามันบิดเบี้ยว มันไม่เป็นอย่างที่เขาเป็นกัน นี่มันบิดเบี้ยว

ตทังคปหานมันปล่อย ถึงบอกว่าถ้ามีกิเลสกับเราร่วมอยู่ด้วย มีกิเลสกับเรา ตทังคปหาน คำว่า “ชั่วคราว” ในธัมมจักฯ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมนั้นเป็นอนัตตา เราก็ว่า “สภาวธรรมเป็นอนัตตา”

สภาวธรรมเป็นอนัตตามันเป็นกิริยาของธรรม แต่ขณะที่สิ้นสุดไปแล้วมันเป็นกุปปธรรม-อกุปปธรรม กุปปธรรม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวะที่เป็นอนัตตา เวลามันถึงที่สุดแล้ว มันพ้นจากสภาวะที่เป็นอนัตตาไป ถ้าผลของการประพฤติปฏิบัติเป็นอนัตตา อนัตตาคือการแปรสภาพ แล้วสภาวธรรมที่แปรสภาพมันจะต่างกับสภาวะธรรมชาติไปได้อย่างไรล่ะ

สภาวธรรมที่เป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมที่เป็นอนัตตา แล้วสัจธรรมก็เป็นอนัตตา ถ้าสัจธรรมเป็นอนัตตา แล้วมันมีอะไรต่างกันล่ะ มันมีอะไรต่างกัน เพราะโดยธรรมชาติมันเป็นของมันอยู่แล้ว แต่เพราะเราไม่มีปัญญาไปรู้แจ้งมันเอง เราไม่มีปัญญา เพราะในกระบวนการในความคิดเรา กระบวนการของชีวิตเรา กระบวนการของร่างกายเรามันแปรสภาพอยู่ตลอดเวลา โรคชรามันอยู่กับเราตลอดเวลา เป็นสมบัติของเราแท้ๆ อยู่กับเราแท้ๆ แต่เราไม่เห็นเราไม่รู้ เพราะอะไร เพราะใจเราไม่เป็นความจริงออกมา

ถ้าเป็นความจริงออกมา การฝึกฝน นักกีฬาทุกคน ดูสิ นักกีฬาที่เขาฝึกฝนมา เริ่มต้น ช้างเผือกเห็นแวว แต่การประพฤติปฏิบัติไป ช้างเผือกที่เห็นแวว ถ้าเขาวิวัฒนาการของเขาไป ถึงที่สุดเขาจะเป็นช้างเผือกจริงๆ นี่แววของช้างเผือก แต่ตัวเป็นช้างเผือกหรือยัง

นี่ก็เหมือนกัน การกระทำของเรา ดูสิ ในโลกของกีฬาเขาจะมีคู่แข่งขันตลอดไป ในการประพฤติปฏิบัติของเรามันมีกิเลสกับธรรมแข่งขันกันตลอดไปนะ กิเลสกับธรรม กิเลสมันมีโดยธรรมชาติ เพราะจิตเราเกิดมามีอวิชชาเป็นธรรมดา ธรรมะๆ ธรรมะเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่รื้อค้นมา แล้ววางไว้เป็นธรรมและวินัยที่เป็นศาสดาของเรา แล้วเราฝึกฝนขึ้นมา เราสร้างขึ้นมา สติต้องสร้างขึ้นมา ปัญญาต้องสร้างขึ้นมา สมาธิต้องสร้างขึ้นมา แต่อวิชชาไม่ต้องสร้าง กิเลสไม่ต้องสร้าง กิเลสมีโดยสามัญสำนึก กิเลสมีอยู่โดยธรรมชาติ แต่ธรรมะต้องสร้าง

แต่ธรรมะสร้าง ไม่ใช่ธรรมะจริง เพราะธรรมะสร้าง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สิ่งที่เป็นอนัตตา ธรรมะจริงมันพ้นจากการสร้าง มันพ้นจากการสร้าง ใครเป็นคนทำมัน ใครเป็นคนรู้มัน นี่ไง ก็ใจเราเป็นคนรู้มัน คนรู้จริงเห็นจริงถึงจะต้องมุมานะ อย่าอ่อนแอ ต้องเข้มแข็ง

เราเป็นนักรบ ศาสนานี้ภิกษุเป็นนักรบ เป็นแนวหน้า ภิกษุต้องรื้อค้น ภิกษุต้องทรงธรรมทรงวินัย เราเป็นภิกษุ เราเป็นผู้นำของสังคม แล้วเราทรงไว้ไม่ได้ คนไม่รู้จริงจะเอาอะไรไปสอนเขา เวลาเขาถามขึ้นมา สิ่งนี้ควรทำอย่างไร วิธีการทำอย่างไร เราจะเอาอะไรไปตอบเขา เราตอบไปผิดๆ ถูกๆ ความลับไม่มีในโลกหรอก สังคมของเรา สังคมของประเทศ สังคมของโลก เดี๋ยวนี้อินเทอร์เน็ตเขาจะเร็วมาก เราจะไปศึกษามาขนาดไหนก็แล้วแต่ เราจะเล่นอินเทอร์เน็ตไปถามใครก็ได้ในโลกนี้ ทีนี้เราไปตอบผิดๆ ถูกๆ มันขายนะ มันขายตัวเอง นี่สุกก่อนห่าม

มันต้องห่ามแล้วถึงสุก ห่าม ผลไม้แก่เก็บไว้แล้วมันจะสุกไป วิวัฒนาการของจิตมันแก่กล้าขึ้นมา มันมีการกระทำของมันขึ้นมา แล้วมันจะสุกไปข้างหน้า มันหลุดจากขั้วนะ ผลไม้สุกมันหลุดจากขั้ว การกระทำของเราถ้ามันถึงที่สุดแล้ว กิเลสมันจะหลุดไปจากใจ มันเด็ดขาดออกไปจากใจเลย

ให้มุมานะ อย่าท้อแท้ อย่าอ่อนแอ ในพรรษาเราก็รีบเร่งของเรา จะนอกพรรษาในพรรษา ไอ้นี่มันเป็นสมมุติของโลก มันเป็นสมมุติ ฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลง แต่ชีวิตเราถ้ามันหมดจากนี้ไป มันตายไป มันจะไปเกิดภพชาติใหม่ แต่ถ้าเราปฏิบัติของเรา ภพชาติมันอยู่ที่ไหน ถ้ากิเลสมันตายซึ่งๆ หน้าแล้ว กิเลสตายไปจากจิต มันไม่มีอะไรเกิดที่ใจอีกแล้ว อะไรมันจะเกิดอีก มันเห็นกันชัดๆ

อะไรมันเหลืออยู่มันก็พาเกิด สิ่งที่มีอยู่มันต้องพาเกิดแน่นอน แล้วสิ่งที่เป็นเชื้อไขที่พาไปเกิดมันสิ้นไปต่อหน้าต่อตา แล้วมันจะเอาอะไรพาเราไปเกิด จิตที่เป็นธรรมธาตุ จิตที่ใสสะอาดที่มันจะต้องไม่ไปเกิด มันอยู่กับเรา มันอยู่กับสิ่งที่เศร้าหมองอยู่ในหัวใจ มันมีอยู่กับเรา ของที่มันอยู่กับเรา ทีนี้มันเป็นสิ่งที่ลึกลับ ลึกลับ เพราะทางวิชาการเราศึกษาขนาดไหนเรายังลืม ยังต้องทบทวน นี่เป็นสัญญาความจำ แต่ถ้าเป็นความจริง ถ้ามันรู้เห็นแล้วมันจะไม่ใช่สัญญา มันเป็นสัจธรรม

เหมือนเราไปหยิบความร้อน มือเราไปจับความร้อน ความร้อนก็คือความร้อน มันต้องไหม้มือเรา ต้องพองเด็ดขาด นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่รู้ขึ้นมาที่ใจมันเป็นตบะธรรม มันรู้ขึ้นมา มันเผาผลาญตัวมันเอง มันชัดเจนขนาดนั้น แล้วมันจะตื่นเต้น มันจะไม่รู้ไปได้อย่างไร มันต้องรู้ต้องเห็นโดยข้อเท็จจริงของมัน แล้วถ้ามันรู้แล้ว มันรู้แจ้งแล้วมันจะลืมได้อย่างไร มันเป็นสิ่งที่มันกระทบที่มันรู้อยู่ตลอดเวลา

ดูสิ เราสร้างสติ เราเป็นปุถุชน สตินี้สร้างได้ยากมาก แต่เวลาทำขึ้นไป เป็นสติ มันก็ชำระเป็นโสดาบัน สกิทาคามีไป พอเป็นอนาคามี คนที่เป็นอนาคามิมรรคต้องเป็นมหาสติ ถ้าไม่เป็นมหาสติ มันจะไปจับกิเลสเป็นอสุภะจากภายในไม่ได้

การเห็นจากข้างนอกเขาเรียก “เห็นกาย” การเห็นกายเห็นเป็นไตรลักษณ์ เห็นกายนี้แปรสภาพ แต่ถ้าเป็นอสุภะ อสุภะมันจะไปแก้สุภะ มันจะไปแก้กามราคะ สิ่งที่แก้กามราคะมันละเอียด เพราะมันเป็นความเห็นจากภายใน ถ้ามันเห็นจากภายในมันต้องเป็นมหาสติ

สิ่งที่เป็นสติ เป็นมหาสติ แล้วเป็นสติอัตโนมัติ แล้วมันรวมลง ทำลายกันสิ้นสุดจนหมดกระบวนการไปของมัน เหลือแต่วิมุตติธรรม วิมุตติธรรม แล้วสติที่เป็นอัตโนมัติกับจิตดวงนั้น จิตที่เป็นวิมุตติ เวลามันขยับตัวออกมา จิตกระเพื่อม จิตที่เป็นธรรมธาตุ จิตที่เป็นวิมุตติมันพ้นจากธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ การสื่อสารกัน ความรู้สึกนึกคิด ขันธ์ทั้งนั้นน่ะ การสัมผัสนี้เป็นเรื่องของขันธ์ ๕ ทั้งนั้นน่ะ

เราต้องรับรู้ใช่ไหม การสื่อสาร ดูสิ เทคโนโลยีที่สื่อสารกันมันต้องมีพลังงานใช่ไหม มันต้องมีคลื่น มีทุกอย่างต่างๆ มันถึงจะสื่อสารกันได้ จิตก็เหมือนกัน สิ่งที่มันจะออกมารับรู้ มันจะผ่านขันธ์ ๕ ผ่านจิต แล้วตัวธรรมธาตุมันเป็นอะไร มันกระเพื่อมออกมา นี่ไง สิ่งที่มันขยับตัว มันกระเพื่อมออกมา นี่คือสติอัตโนมัติ สิ่งที่ครูบาอาจารย์ว่า “เผลอๆ” เผลอในขันธ์ เผลอในสิ่งที่เป็นข้อมูลออกมา แต่ตัวมันเองเผลอไม่ได้ นี่ไง สัจธรรม อกุปปธรรม สิ่งที่เป็นอกุปปธรรมมันอยู่กับเรา มันมีอยู่กับเรา เรารู้ของเรา

นี่ไง จากความชราภาพ ชีวิตเรา ชีวิตในวัฏฏะมีโรคประจำตัวทุกๆ ดวงใจ ทุกๆ คนที่เกิดมาชราภาพ มันต้องแปรปรวนเป็นธรรมดา แต่ตัวจิตถ้ามีอวิชชาอยู่ มันมีเชื้อไขมีตัวโรคอยู่ มันต้องหมุนไปในวัฏฏะ มันก็ชราภาพหมดเป็นมิติๆ หมดเป็นชีวิตหนึ่งๆ มันมีสถานะหนึ่งมันก็เปลี่ยน ดูสิ ดูการประชุมหมดวาระประชุม ก็ประชุมวาระใหม่

จิตก็เหมือนกัน เป็นภพเป็นชาติ เป็นการเปลี่ยนแปลง ถึงที่สุดแล้วมันชำระหมดแล้ว มันหมดแล้ว พอหมดแล้ว ไม่มีวาระกับใครทั้งสิ้น คนว่างงาน คนที่จะไม่ต้องเกาะเกี่ยวอยู่กับวัฏฏะแล้ว สิ่งนี้มันทำได้ คือมันพ้นจากชราภาพ พ้นจากการเปลี่ยนแปลง พ้นต่างๆ ทุกอย่างไป แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ? มันอยู่ในใจเรานะ มันอยู่กับความรู้สึกเรา มันอยู่กับพุทธะ มันอยู่กับพุทโธ อยู่กับความรู้สึกของหัวใจ

ถ้าใครเข้มแข็งแล้วแสวงหา ของมีอยู่ เราต้องค้นหาได้ เราต้องทำได้ ความรู้สึก รู้สึกทุกข์รู้สึกสุขมันมีอยู่ ความรู้สึกเฉยๆ ก็มีอยู่ ความรู้สึกธรรมดาก็มีอยู่ ความรู้สึกมีอยู่ทั้งนั้นเลย แต่เราไม่เคยเอามาเทียบค่า เอามาวิเคราะห์วิจัย เอามาเป็นต้นประเด็นให้เราใช้ปัญญาของเราออกไป ถ้ามันมีอย่างนี้ เราใช้ปัญญาของเราขึ้นมา เราจะพยายามประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา ทำเพื่อประโยชน์เรานะ

งานจากข้างใน งานจากสิ่งที่เราบำรุงรักษา กิจของสงฆ์ ของของสงฆ์ เพื่อหมู่คณะ เพื่อความเป็นไป อันนี้มันสมณสารูป แต่เพื่ออริยภูมิ เรื่องหัวใจที่เป็นอริยเจ้าอยู่ในหัวใจของเรา มันเป็นสมบัติส่วนตน

แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ มีการประพฤติปฏิบัติ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ มันเป็นมงคลตรงนี้ไง เป็นมงคลที่เราตรวจสอบ เราเช็คกัน เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของสังฆะ เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของสงฆ์ เพื่อความเป็นจริงในหัวใจ แล้วถึงที่สุด มีครูมีอาจารย์เป็นผู้ชี้นำ มันสะดวกสบายมาก ถ้าไม่มีครูมีอาจารย์ เราต้องพยายามทดสอบของเราเอง หาของเราเอง

กิเลสมันบอกถูกทั้งนั้นนะ แต่ประพฤติปฏิบัติไป กาลเวลามันพิสูจน์นะ ความจริงคือความจริง มันออกมาจากใจดวงนั้น แต่ถ้ามันเป็นความไม่จริง มีเชื้อไขอยู่ การแสดงออกมามันรู้มันเห็น ผู้ที่รู้จริงเขาจะเห็นใจเรา ไอ้เรารู้ไม่จริง มันแสดงออกมานี่เขาเห็น ฉะนั้น เราจะต้องแก้ไขของเราเพื่อประโยชน์ของเรา ถึงให้อาจหาญ ให้มั่นคง เพื่อประโยชน์ของเรา เอวัง